Health

  • 8 ผักผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า แคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง ช่วยลดน้ำหนัก
    8 ผักผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า แคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง ช่วยลดน้ำหนัก

    รู้ไหมว่า อาหารบางชนิด หากหยิบมากินให้ถูกเวลา ก็จะยิ่งเพิ่มประโยชน์มากขึ้นไปอีก! ซึ่งวันนี้เราก็มีลิสต์ ผักผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า มาแนะนำกันค่ะ การกินมื้อเช้านั้นไม่เพียงช่วยให้เรามีพลังงานพร้อมเริ่มต้นวันใหม่ แต่ยังมีประโยชน์ในการช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะทำให้เราลดการกินอาหารมื้ออื่นๆ ได้น้อยลงตามไป ซึ่งผักผลไม้หลายๆ ชนิดก็เหมาะที่หยิบมาทำเป็นมื้อเช้า เหมาะที่จะหยิบมากินในตอนเช้าสุดๆ เพราะนอกจากแคลอรี่ต่ำ ไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยให้อิ่มท้องยาวนานอีกด้วย ซึ่งจะมีผักและผลไม้ชนิดไหนบ้างที่ควรกินตอนเช้า มาดูกันเลย!

    8 ผักผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า แคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง ช่วยลดน้ำหนัก

    1. กะหล่ำปลี

    กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำสุดๆ ค่ะ ซึ่งกะหล่ำปลี 100 กรัม มีไฟเบอร์มากถึง 2.5 กรัม แต่ให้พลังงานเพียง 25 กิโลแคลอรี่เท่านั้น ซึ่งกะหล่ำปลีหากหยิบมากินเป็นอาหารเช้าก็สามารถนำมาทำเมนูได้หลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะต้ม นึ่ง หรือนำไปผัด ถือเป็นผักที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนักมากๆ เลยค่ะ

    1. บรอกโคลี

    บรอกโคลี เป็นผักใบเขียวที่นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงมากๆ แล้ว ยังมีแคลอรี่ต่ำอีกด้วย โดยบรอกโคลี 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 31 แคลอรี่ ซึ่งนอกจากเป็นผักที่ช่วยให้อิ่มท้อง อิ่มนานแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตรอลได้อีกด้วย ที่สำคัญบรอกโคลียังสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายแบบ จะต้ม นึ่ง หรือผัด ก็ดี!

    1. ดอกกะหล่ำ

    เรียกว่าเป็นผักสำหรับคนลดน้ำหนักเลยล่ะค่ะ สำหรับดอกกะหล่ำ โดยเฉพาะคนที่กำลังลดน้ำหนักแบบคีโต ซึ่งดอกกะหล่ำ 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 25 แคลอรี่เท่านั้น ซึ่งดอกกะหล่ำนั้นสามารถนำมาใช้แทนข้าวได้ดี เพราะไม่เพียงแคลอรี่ต่ำ แต่คาร์โบไฮเดรตยังต่ำอีกด้วย โดยสามารถนำมาปั่น นำไปผัดใช้แทนข้าว หรือทำเป็นโจ๊กก็ได้ อัดแน่นด้วยไฟเบอร์แต่แคลอรี่ไม่สูง!

    ผลไม้ ที่ควรกินตอนเช้า

    1. กล้วย

         เป็นผลไม้ที่แนะนำให้กินตอนเช้ามากที่สุดเลยล่ะค่ะสำหรับกล้วย เพราะกล้วยไม่เพียงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ทั้งธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซีเท่านั้น แต่กล้วยยังเป็นผลไม้ที่ไฟเบอร์สูงอีกด้วย ซึ่งไฟเบอร์นั้นจะช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้ยาวนานยิ่งขึ้น กินก่อนออกกำลัง หรือกินก่อนมื้ออาหารในตอนเช้า จะช่วยให้เรากินข้าวต่อมื้อลดลง และลดความอยากอาหารไปได้เยอะ ดีต่อการลดน้ำหนักสุดๆ 

    1. แอปเปิล

    อย่างที่รู้กันค่ะว่าแอปเปิลเหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักสุดๆ ยิ่งถ้าหยิบมากินตอนเช้าก็ยิ่งดี! เพราะแอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง กินแล้วอยู่ท้อง ช่วยลดความอยากอาหาร แถมไฟเบอร์ในแอปเปิลยังเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย และแม้แอปเปิลจะเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลแต่ร่างกายก็สามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 10 นาทีค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วน!

    1. บลูเบอร์รี่

    บลูเบอร์รี่ถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำมากๆ ค่ะ ทั้งยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยให้เราอิ่มเร็วและอิ่มนานขึ้น และบลูเบอร์รี่ยังช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารและทำให้การขับถ่ายของร่างกายทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง ซึ่งจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดีขึ้นด้วย

    1. กีวี

    กล้วยว่ามีไฟเบอร์สูงมากๆ แล้ว รู้ไหมคะว่ากีวีมีไฟเบอร์สูงกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิลและส้มถึง 25% เลยล่ะ! ซึ่งการกินผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงอย่างกีวีในตอนเช้าก็จะช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยให้อิ่มนาน ทำให้เราไม่รู้สึกหิว ลดการกินจุกจิกที่เป็นสาเหตุของความอ้วนได้ดี และกีวีไม่ได้เหมาะแค่การกินตอนเช้าเท่านั้นนะคะ แต่ตอนเย็นก็กินได้ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่ช่วยให้หลับง่ายและหลับสบายมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับยากด้วย!

    1. สตรอเบอร์รี่

    สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดที่เหมาะจะกินตอนเช้าสุดๆ ค่ะ เพราะเป็นผลไม่ที่แคลอรี่ต่ำ แต่กลับมีวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระสูงมากๆ ซึ่งการกินสตรอเบอร์รี่ในตอนเช้านอกจากจะช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มปริมาณไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มวิตามินซีให้กับร่างกาย ซึ่งการกินสตรอเบอร์รี่เพียง 1 ถ้วย ก็ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายต่อวันเลยทีเดียว

    ข้อมูลจาก  https://women.trueid.net/detail/kpq39OkoD8wB

    ติดตามอ่านต่อได้ที่  artgifts.net

Economy

  • บัตรคนจน 6 ปีใช้งบ 3.3 แสนล้าน ปี 66
    บัตรคนจน 6 ปีใช้งบ 3.3 แสนล้าน ปี 66

    บัตรคนจน 6 ปีใช้งบ 3.3 แสนล้าน ปี 66 รับสิทธิ 14.59 ล้านคน เช็กรายชื่อ 1 มี.ค.

    นายกฯ เผย ครม.อนุมัติบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่แล้ว รวมบัตรคนจน 6 ปี ใช้งบ 333,229.6 ล้านบาท เริ่มเช็กรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติ 14.59 ล้านคน มี.ค.ย้ำต้องไปยืนยันตัวตนด้วยตัวเอง และเริ่มใช้สิทธิ 1 เม.ย. เดือนละ 300 บาทต่อคน รวมค่าน้ำ–ค่าไฟอื่นๆ เพิ่มเบ็ดเสร็จ 1,545 บาทต่อคน

    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมมีการพิจารณาหลายวาระสำคัญด้วยกัน รวมทั้งหมด 40 กว่าเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องต้องดูแลประชาชน และที่สำคัญวันนี้มีการพิจารณาอนุมัติบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งหลายคนอนุมัติไปแล้ว หลายคนมีปัญหายังไม่ได้ โดยจะเริ่มใช้วันที่ 1 เม.ย.ยืนยันว่าจะดูแลประชาชนของเราให้ดีที่สุด แม้จะเป็นช่วงปลายรัฐบาล

    นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 หรือบัตรคนจน โดยได้มีการอนุมัติงบกลางเพิ่มเติม 9,140 ล้านบาทเพื่อให้เพียงพอกับจำนวนผู้รับสิทธิ 14.59 ล้านคน

    และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐในวันที่ 1 มี.ค.2566 ผู้ที่ลงทะเบียนบัตรคนจนไว้ สามารถตรวจสอบรายชื่อตนเองได้ที่เว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. ของทุกวัน หรือที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร 50 เขต และศาลาว่าการเมืองพัทยา

    “เมื่อตรวจสอบรายชื่อแล้วพบว่าเป็นผู้มีสิทธิรับสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องเดินทางไปยืนยันตัวตนด้วยตัวเองที่ 3 ธนาคารเท่านั้น คือ ธ.ก.ส., ออมสิน, กรุงไทย ต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวไปด้วย เนื่องจากสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐจากนี้ไปจะใช้บัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น โดยจะเชื่อมข้อมูลไปยังบัญชีธนาคารใดก็ได้ที่ผูกกับระบบพร้อมเพย์ เพื่อโอนเงินให้ทุกเดือน”

     

    ทั้งนี้ การยืนยันตัวตนสามารถทยอยยืนยันได้ โดยแบ่งเป็น 5 รอบ

    บัตรคนจน 6 ปีใช้งบ 3.3 แสนล้าน ปี 66 รับสิทธิ 14.59 ล้านคน เช็กรายชื่อ 1 มี.ค.
    ขอบคุณรูปภาพจาก : thairath.co.th

    รอบที่ 1 วันที่ 1 มี.ค.- 26 มี.ค.66 จะได้เริ่มใช้สิทธิวันที่ 1 เม.ย.66, รอบที่ 2 ยืนยันตัวตน วันที่ 27 มี.ค.-26 เม.ย.66 เริ่มใช้สิทธิวันที่ 1 พ.ค.66, รอบ 3 ยืนยันตัวตนระหว่าง 27 เม.ย.-26 พ.ค.66 เริ่มใช้สิทธิ 1 มิ.ย.66, รอบที่ 4 ยืนยันตัวตนระหว่างวันที่ 27 พ.ค.-26 มิ.ย.66

    เริ่มใช้สิทธิ 1 ก.ค.66 และรอบที่ 5 ยืนยันตัวตนตั้งแต่ 27 มิ.ย.66 เป็นต้นไป และเริ่มใช้สิทธิ 1 ส.ค.66 โดยผู้ที่ยืนยันรอบ 2-4 จะได้รับสิทธิย้อนหลังได้ไม่เกิน 3 เดือน นับจากเดือนแรกที่เริ่มใช้สิทธิได้ โดยสิทธิย้อนหลังจะให้เฉพาะวงเงินการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากร้านธงฟ้าราคาประหยัด ส่วนผู้ที่ยืนยันตัวตนรอบที่ 5 จะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง

    นายอาคม กล่าวว่า สำหรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่นี้ ทุกคนจะได้สิทธิเท่าเทียมกัน เริ่มจากเงินเดือนคนละ 300 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากร้านธงฟ้า จากเดิมแบ่งตามรายได้ คือ ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับ 300 บาท

    แต่ถ้าเกิน 30,000-100,000 บาท ได้ 200 บาท ส่วนลดการซื้อก๊าซหุงต้มเดือนละ 80 บาทเป็นเวลา 3 เดือน จากเดิม 45 บาท และค่าใช้จ่ายการเดินทาง 750 บาท ใช้รถโดยสารสาธารณะ 8 ประเภท

    ส่วนค่าน้ำประปา 100 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน หากเกิน 100 บาท ผู้ใช้น้ำต้องจ่ายส่วนที่เกิน และค่าไฟฟ้า 315 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน หากใช้เกินกว่าที่กำหนดผู้ถือบัตรจะต้องจ่ายเอง โดยค่าน้ำและค่าไฟ กระทรวงการคลัง จะเป็นผู้ชำระให้เอง โดยจะเชื่อมข้อมูลไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน). การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)

    ทำให้รวมสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบนี้จะได้เงินช่วยเหลือจากรัฐ 1,545 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนผู้พิการที่ถือบัตรคนจนจะได้รับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) อีกคนละ 200 บาทต่อเดือน โดยผู้พิการต้องมายืนยันตัวตนพร้อมกับผูกบัญชีพร้อมเพย์เท่านั้น หากเป็นผู้พิการติดเตียง ต้องมีหนังสือยินยอมและมอบอำนาจ โดยมีพยานเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันในพื้นที่นั้นๆ

    ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในปี 61 จนถึงการอนุมัติล่าสุดปี 66 รวม 6 ปี รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 333,229.6 ล้านบาท แบ่งเป็น ปี 61 ใช้งบประมาณ 43,614.5 ล้านบาท ผู้รับสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.2 ล้านคน ปี 62 งบประมาณ 93,155.4 ล้านบาท รับสิทธิ์ 14.6 ล้านคน ปี 63 งบประมาณ 47,843.5 ล้านบาทรับสิทธิ์ 13.9 ล้านคน ปี 64 งบประมาณ 48,216 ล้านบาท รับสิทธิ์ 13.5 ล้านคน ปี 65 งบประมาณ 34,986.4 ล้านบาท รับสิทธิ์ 13.2 ล้านคน ปี 66 งบประมาณ 65,413.80 ล้านบาท รับสิทธิ์ 14.59 ล้านคน.

    ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th

    สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : artgifts.net